|
|
|
|
คอลัมน์ ผ่าโลกวันอาทิตย์: เฟซบุ๊ก'อันเฟรนด์'ออสเตรเลีย ความท้าทายของอำนาจคู่ขนาน
- (มีภาพ)
|
|
|
|
เดลินิวส์ | 21 ก.พ. 2564 | หน้า 9 | PR Value THB 681,534.00 |
|
|
|
|
|
ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป เรียกได้ว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่เหนือความคาดหมายของทุกฝ่าย เมื่อเฟซบุ๊กประกาศปิดกั้นผู้ใช้งานในออสเตรเลีย จากการเข้าถึงและแบ่งปันเนื้อหาข่าวของสำนักข่าวทุกแห่งทั่วโลก จากแพลตฟอร์มของบริษัท ขณะที่ผู้ใช้งานในต่างประเทศจะไม่สามารถเข้าถึง และแบ่งปันเนื้อหาของสำนักข่าวจากออสเตรเลีย "เป็นการชั่วคราว" ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา การดำเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่สภาผู้แทนราษฎรของออสเตรเลีย "อยู่ในขั้นตอนสุดท้าย" ของการพิจารณาและลงมติรับรองกฎหมาย ว่าด้วยการที่บริษัทเทคโนโลยีต้องบรรลุข้อตกลงเรื่องผลตอบแทนกับสำนักข่าว หรือบริษัทผู้ผลิตเนื้อหาในประเทศ ก่อนนำข้อมูลไปเผยแพร่บนแพลตฟอร์มเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า โดยกฎหมายมีแนวโน้มได้รับความเห็นชอบสูงมาก เมื่อพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้าน ส่งสัญญาณสนับสนุน ด้านนายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน กล่าวว่า เฟซบุ๊ก "อันเฟรนด์" กับออสเตรเลีย ด้วยการปิดช่องทางเข้าถึงข้อมูล และการติดต่อสื่อสารที่จำเป็น เป็นการดำเนินการที่หยิ่งผยอง และน่าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่เฟซบุ๊กกล่าวว่า กฎหมายที่ออสเตรเลียต้องการบังคับใช้นั้น "เต็มไปด้วยความคลุมเครือ" เพราะยังไม่สามารถให้คำจำกัดความได้อย่างชัดเจนว่า "เนื้อหาข่าว" คืออะไร ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวมีชื่อว่า "การต่อรองกับสื่อ" มีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ไขปัญหา "ความไม่สมดุลทางอำนาจ" ระหว่างผู้ประกอบการด้านการสื่อสาร และสำนักข่าว กับบริษัทด้านเทคโนโลยีที่รวมถึงเครือข่ายสังคมออนไลน์ ในการเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการซื้อขายข่าวและเนื้อหาอื่น ซี่งจัดทำโดยสำนักงานสื่อภายในออสเตรเลีย หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถเห็นชอบร่วมกันได้ คณะอนุญาโตตุลาการจะเป็นผู้ตัดสิน ว่าข้อเสนอของฝ่ายใด "เหมาะสมกว่ากัน" หากมีการลงนามร่วมกันในข้อตกลงแล้ว บริษัทด้านเทคโนโลยีที่มีการระบุชัดเจนในกฎหมาย คือ เฟซบุ๊ก และกูเกิล เป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลง อาจถูกฟ้องในคดีแพ่ง และต้องชำระค่าเสียหายซึ่งอาจสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 233.47 ล้านบาท) ขณะเดียวกัน กฎหมายยังระบุให้ผู้ประกอบการเทคโนโลยีต้องแจ้งให้สำนักข่าวทราบล่วงหน้า หากจะมีการปรับเปลี่ยนระบบอัลกอริทึม ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการแสดงผลของเนื้อหาข่าวบนแพลตฟอร์ม นอกจากนี้ เจ้าของเครือข่ายสังคมออนไลน์และบริการสืบค้นต้องแบ่งปันข้อมูลเบื้องต้น เกี่ยวกับการใช้งานข้ออมูลของผู้บริโภค ที่เข้าชมเนื้อหาข่าวบนแพลตฟอร์ม อนึ่ง ในอนาคตอาจมีการเพิ่มชื่อผู้ประกอบการรายอื่น นอกเหนือจากเฟซบุ๊กและกูเกิล การที่ออสเตรเลียบัญญัติกฎหมายที่ว่านี้ โดยอาศัยหลักการพื้นฐานของกฎหมายต่อต้านการผูกขาดทางการค้า หลายฝ่ายจึงมองว่ากฎหมายซึ่งกำลังจะมีผลบังคับใช้ในอีกไม่นานนี้ จะมีความเข้มงวดและมีประสิทธิภาพมากกว่ากฎหมายจัดระเบียบการสื่อสารออนไลน์ในหลายประเทศ ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ วงการสื่อสารมวลชนทั่วโลก รวมถึงในออสเตรเลียต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ดิสรัปชัน" (Disruption) เมื่อ "สื่อกระแสหลัก" หรือสื่อเก่าแก่ที่อยู่คู่กับสังคมมานาน พบกับความท้าทายจาก "สื่อใหม่" ซึ่งมีรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาที่แตกต่างออกไปจากเดิมมาก จึงสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคได้มากกว่า ข้อมูลเบื้องต้นจากคณะผู้ตรวจการด้านสื่อออนไลน์ของออสเตรเลียระบุว่า เกือบ 1 ใน 3 ของเงินทุก 100 ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ราว 2,333.36 บาท) ที่ใช้สำหรับการโฆษณาออนไลน์ ยกเว้นโฆษณาย่อย เข้ากระเป๋าเฟซบุ๊กและกูเกิล เฟซบุ๊กมองว่า การที่บริษัทเทคโนโลยีต้องบรรลุข้อตกลงเรื่องผลตอบแทนกับสำนักข่าว หรือบริษัทผู้ผลิตเนื้อหาในประเทศนั้นก่อน ซึ่งในที่นี้คือออสเตรเลีย ก่อนนำข้อมูลไปเผยแพร่บนแพลตฟอร์มเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า เป็นแนวทางปฏิบัติที่ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง เนื่องจาก "เปิดโอกาส" ให้เจ้าของเนื้อหา "กำหนดราคาได้ตามอำเภอใจ" และยืนยันการมีความสนับสนุน "ที่เท่าเทียมและเป็นประโยชน์" ให้กับสำนักข่าวท้องถิ่นมาตลอด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลออสเตรเลียยืนยันว่า กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้อย่างแน่นอน เพราะพรรคแรงงานซึ่งเป็นแกนนำฝ่ายค้านส่งสัญญาณสนับสนุน ในขณะที่มุมมองของเฟซบุ๊กคือการที่ภาครัฐกำลังจะ "แทรกแซง" การดำเนินงานของอาณาจักรสื่อออนไลน์ ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็น "อำนาจเหนือรัฐ" ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างยังไม่มีท่าทีที่จะลดราวาศอกต่อกัน แต่มองในอีกด้านหนึ่ง ความเคลื่อนไหวของเฟซบุ๊ก คือสัญญาณเตือนไปยังรัฐบาลทั่วโลกเช่นกัน ว่าถึงเวลาแล้วหรือไม่ ที่ต้องมีการจัดระเบียบยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี "อย่างจริงจังกว่านี้".
บรรยายใต้ภาพ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอเฟซบุ๊ก นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน ผู้นำออสเตรเลีย |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|